รูปปั้นของพระเยซู เมือง ริโอ เดอ จาเนโร

Picture
Picture

ชื่อสถานที่: รูปปั้นของพระเยซู เมือง ริโอ เดอ จาเนโร Statue Cristo Redentor
สถานที่ตั้ง: เมือง Rio de Janeiro ประเทศบราซิลปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้
        รูปปั้นของพระเยซูที่โปรดให้พ้นบาป ยืนสูง 30 เมตร (98ฟุต) และกำลังมองข้ามเมือง Rio de Janeiro หนึ่งในรูปปั้นสูงที่สุด ในโลก. รูปปั้นแสดง พระเยซูเยืนยื่นแขนออกมาต้อนรับ และเป็นหนึ่งของสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงมากของเมืองนี้ พัฒนาดดยวิศวกร Heitor da Silva Costa และองค์กร สร้างขึ้นในปี 1921 ดครงการทำเกือบ 5 ปีจึงเสร็จสิ้น รูปปั้นอยู่บนภูเขา Corcovado (ภูเขา Hunchback ) และตั้งใน อุทยานแห่งชาติ Tijuca เป็นสถานที่ปิคนิกที่รื่นเริง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปฐานของรูปปั้น ซึ่งสูง 709 m (2326ฟุต) สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของภูเขา Sugar Loaf กลางเมือง Rio de Janeiro และชายหาดของ Rio de Janeiro นักท่องเที่ยวสามารถ ขึ้นรถไฟ ไปบนยอดของภูเขาเพื่อมองรูปปั้นอย่างใกล้ชิด และสร้างวิวที่สวยงามมากมาย 




รูปสลักโมอาอิ

Picture
Picture

ชื่อสถานที่: รูปสลักโมอาอิ Moai Statues
สถานที่ตั้ง: เกาะอีสเตอร์ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้
       เกาะอีสเตอร์ ตั้งอยู่ไกลจากฝั่งภาคเหนือของประเทศชิลี (Chile) 2,000 ไมล์ และห่างจาก เกาะปีทเชียน (Pitcain Island) ประมาณ 1,100 ไมล์ อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ เป็นสถานที่อันโดดเดี่ยวที่สุดแห่งหนึ่งของโลกยาวเพียง 25 กม. มีเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางไมล์ มีคนอาศัยราว 150 คน เกาะนี้เป็นเกาะที่มีภูเขาไฟแต่ปัจจุบันสงบอยู่ ชาวยุโรปพวกแรกที่มาเยือนเกาะนี้คือ นักเดินเรือพวกดัตช์ และต่อมาก็คือกัปตันเจมส์ คุก แต่ที่กลายเป็นเกาะที่น่าสนใจเพราะมีโบราณวัตถุประหลาดรูปยักษ์ครึ่งตัวไม่ต่ำกว่า 200 ชิ้น สร้างด้วยหินแกะสลักด้วยฝีมือหยาบๆ แต่มีขนาดใหญ่ แหงนมองทท้องฟ้าโดยไม่มีใครทราบสาเหตุและที่มา 
        แม้จะมีความเห็นขัดแย้งกันมาก แต่นิยายปรัมปราที่ว่าเกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งของทวีปซึ่งจมหายไปในมหาสมุทรนั้นยังมีคนเชื่ออยู่มาก และยังเหลืออยู่ คนรุ่นหลังคิดกันง่ายๆ ว่า คนสมัยนั้นซึ่งกำลังตกอยู่ในภาวะมืดมนคงได้คิดสร้างรูปเทพเจ้า(คนสมัยหลังเห็นเป็นยักษ์) ไว้คอยดูแล คุ้มครองพืชผลเกรงว่าจะสูญหายตามไปอีก
        นักมนุษย์วิทยาสมัยใหม่เชื่อว่าชาวเกาะตะวันออกสืบเชื้อสายมาจากเผ่าโพลีนีเซียนที่เพิ่งสูญพันธ์ไป เกาะนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ราปานุย เมื่อนายพลเรือยาคอบรอกเจวีนได้ไปพบเข้าในวันเทศกาลอีสเตอร์ ปี ค.ศ. 1722 (อีสเตอร์คือวันฉลองการคืนชีพของพระเยซู) ใน ค.ศ. 1881 รัฐบาลชิลีได้ผนวกเกาะไว้ในอาณาเขต ชื่อเดิมถูกแปลเป็นภาษาสเปนว่า อิซา เดอ ปาสกูอา พวกชาวเกาะซึ่งเป็นชาวชิลีได้สงวนบางส่วนของเกาะ ไว้เป็นสถานที่พักวัวควาย และแกะก่อนส่งออกนอกประเทศ
        รูปสลักคนนั่งคุกเข่าจากยุคแรกซึ่งเริ่มประมาณปี ค.ศ. 380 สลักขึ้นจากหิน และกากแร่ภูเขาไฟหรือหินบะซอลต์ รูปสลักหินในยุคถัดมาหรือยุคกลางเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1100 เป็นรูปสลักที่เรียกว่า "โมอาอิ"(Moai) ที่เห็นโดดเด่นทั่วไปบนเกาะนี้ รูปสลักนี้มีลำตัวส่วนบนเหมือนผู้ชาย ส่วนศีรษะหน้าตาเป็นแบบเดียวกัน ดวงตา เป็นวัสดุอื่นฝังอยู่ในเนื้อหิน และติ่งหูยาว สูงตั้งแต่ 6 ฟุตถึง 30 ฟุต บางรูปมีน้ำหนักถึง 50 ตัน รูปสลักโมอาอิจะตั้งอยู่บนฐานหินที่เรียกว่า "อาฮู"(Ahu) แต่ละก้อนซึ่งรองรับรูปสลักได้ถึง 12 รูป ในช่วงหลายร้อยปีของยุคกลางนี้ มีการสร้างรูปสลักขนาดใหญ่โตมโหฬารขึ้นเรื่อย ๆ และต่อมามีการเพิ่มเติมส่วนจุกสีแดง หรือ "พูคาโอ"(Pukao) บนยอดศีรษะด้วย เชื่อกันว่ารูปสลักแปลกเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แทน หัวหน้าเผ่าผู้ล่วงลับที่กลายเป็นเทพเจ้าไปแล้ว นอกจากรูปแกะสลักเหล่านี้ บริเวณรอบๆ ปรากฎว่าไม่มีอะไรเลยที่เป็นพวกโลหะ หรือวัตถุปั้นหล่อใดๆ
        ยุคที่สามหรือยุคหลังเริ่มในราวปีค.ศ. 1680 ตรงกับช่วงเวลาที่ชนพื้นเมืองสองเชื้อชาติ ซึ่งเคยอยู่ร่วมกันมาอย่างสงบเกิดทะเลาะ และทำสงครามกัน การวิวาทอาจเกิดเพราะป่าไม้เริ่มหมด พวกเขาไม่สามารถหาอาหารหาไม้มาต่อเรือได้ สภาพดินก็เริ่มเสื่อมโทรม เมื่อข้าวปลาอาหารลดน้อยลง ชนพื้นเมืองสองเผ่าคือ พวกหูยาว จากอเมริกาใต้ ที่มีอิทธิพลในสังคมมากกว่า และพวกหูสั้น จากเกาะ แถบโพลีนีเซียก็เริ่มต่อสู้กัน แต่พวกหูสั้นกลับได้ชัยชนะ (เล่าสืบกันมาว่าพวกผู้หญิงและเด็กถูกจับกิน) ในระหว่างการต่อสู้ พวกหูสั้นบุกยึดฐานหินได้และโค่นรูปสลักลงมากมาย 




หมู่เกาะกาลาปาโกส

Picture
Picture

ชื่อสถานที่: หมู่เกาะกาลาปาโกส  Galapagos Islands
สถานที่ตั้ง: ในมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณศูนย์สูตร ห่างไปทางทิศ
ตะวันตกของประเทศเอกวาดอร์ราว 600 ไมล์ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้
       หมู่เกาะกาลาปาโกสถูกค้นพบใน ค.ศ. 1535 มีผู้คนไปตั้งหลักแหล่งใน ค.ศ. 1832 สูงกว่าระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 2,133.6 ถึง 3,048 เมตร (7,000-10,000 ฟุต) มีจำนวนเกาะต่าง ๆ ราว 14 เกาะ มีภูเขาไฟที่ดับแล้วอยู่จำนวนมาก เช่น ภูเขาไฟซีร่าเนกรา ปากหลุมกว้าง 6.4-9.65 กิโลเมตร ที่นับว่าใหญ่ที่สุดในเกาะ         สภาพความเป็นไปที่ออกจะแปลกประหลาด อธิบายลำบากของหมู่เกาะกาลาปาโกส ที่โดดเดี่ยว ได้กลายเป็นเรื่องที่แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนของทฤษฎีการวิวัฒนาการชีวิต ซึ่งชาร์ลส์ดาวิน ได้ตั้งขึ้นหมู่เกาะแห่งนี้มีลักษณะของเขตภูเขาไฟในอดีต ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณศูนย์สูตร ห่างไปทางทิศ ตะวันตกของประเทศเอกวาดอร์ราว 600 ไมล์(965.6 กิโลเมตร) นักธรรมชาติวิทยาเชื่อว่าสัตว์ต่างๆ ที่มีอยู่ในถิ่นนี้แต่เดิมถูกสภาพแวดล้อมของดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงให้เกิดพัฒนาจนผิดไปจากเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ในแดนนี้ 
        ทฤษฎีวิวัฒนาการชีวิตของชาร์ลส์ดาวิน ที่มีว่าสรรพสิ่งมีชีวิตบนพื้นพิภพได้วิวัฒนาการ มาเป็นลำดับ โดยไม่หยุดนิ่งคงเดิมเหมือนตอนสร้างโลกหลักทฤษฎีนี้มาหาข้อพิสูจน์ได้ที่หม่เกาะกาลาปาโกส นี้เอง ดาวินไปเยี่ยมเกาะนี้เมื่อ ค.ศ. 1835 เขาได้สังเกตเห็นการที่นกและสัตว์อื่น ๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ ธรรมชาติของท้องถิ่น มีนกที่ดาวินเรียกว่าฟินช์เป็นตัวอย่างของเรื่องนี้ดี มันเปลี่ยนสภาพตั้งแต่ลักษณะนิสัยความเป็นอยู่ผิดไป จากที่อื่นเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ สัตว์อื่น ๆ ก็เช่นกันได้ทำตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างเหมาะสม เช่น จิ้งเหลน เต่ายักษ์ ซึ่งผิดกับที่อื่นตลอดจนนกทะเลที่ชอบกินปลาในทะเลแต่บินไม่ได้ 
        ชาวเกาะที่อาศัยอยู่มีอาชีพเลี้ยงแพะและวัวควาย บางกลุ่มมีความดุร้าย แม้ว่าหมู่เกาะนี้ยัง อยู่ห่างไกลจากผู้คนชาวโลก แต่ความสนใจทฤษฎีวิวัฒนาการของมนุษย์ในศตวรรษที่ 20 ได้ช่วยให้ชาวเกาะ มีรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ไม่ใช่น้อย